ชาเขียว (Green Tea) เป็นชาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนเมื่อกว่า 4,000 ปีมาแล้ว ก่อนที่จะมีการนำกิ่งพันธุ์ไปปลูกยังประเทศญี่ปุ่นและประเทศต่างๆอีกหลายประเทศ โดยกรรมวิธีการผลิตชาเขียวนั้นสามารถทำได้โดยการนำยอดใบชาที่เพิ่งเก็บเสร็จไปอบไอน้ำโดยใช้อุณหภูมิสูงทันที เพื่อทำให้ใบชาแห้งอย่างรวดเร็ว โดยที่ใบชายังคงมีสีเขียวและมีคุณภาพเช่นเดียวกับใบชาสด ทำให้ยังสามารถคงประโยชน์ของชาเขียวไว้ได้อย่างครบถ้วน ซึ่งต่างจากการอบแห้งชาประเภทอื่นๆ
ชาเขียวมีประโยชน์มากมายหลายประการ ทั้งในด้านการบริโภคและการใช้เป็นส่วนผสมในของใช้ประจำวันชนิดอื่นๆ
ประโยชน์ของชาเขียว
– สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้ทั้งแบบร้อนและเย็น
– นิยมนำมาเป็นส่วยผสมของขนมหวาน เช่น เค้กชาเขียว คุกกี้ชาเขียว และ ขนมชนิดอื่นๆ
– ชาเขียวสามารถนำมาเป็นส่วนผสมของของใช้หลายชนิด เช่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และน้ำยาดับกลิ่น เป็นต้น
– ให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เนื่องจากมีคาเฟอีนเป็นส่วนผสม
– ชาเขียวมีสารอีพิกัลโลคาเทชินกัลเลต (Epigallocatechin Gallate) มีประโยชน์ในการช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง
– มีงานวิจัยที่ชัดเจนถึงประโยชน์ของชาเขียวในการลดไขมันในเส้นเลือด
– ช่วยลดความอ้วน
– มีกรดอะมิโนหลายตัวที่จำเป็นต่อร่างกาย
– ชาเขียวมีวิตามิน B, C และ E สูง
– ชาเขียวมีประโยชน์ในการเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานและไขมันของร่างกาย
– ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
– ช่วยรักษาโรคปวดศีรษะ โรคซึมเศร้า และอาการง่วงซึม
– ประโยชน์ของชาเขียวช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด
– มีสรรพคุณช่วยยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือด ซึ่งเป็นต้นเหตุหนึ่งของอาการหัวใจวายและลมชัก
– ชาเขียวมีประโยชน์ต่อกระบวนการการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง เนื่องจากมีคลอโรฟิลล์สูง
– ช่วยกำจัดสารพิษตกค้างออกจากร่างกาย
– ช่วยป้องกันฟันผุและช่วยกำจัดแบคทีเรียในช่องปาก ทำให้ไม่มีกลิ่นปาก และมีลมหายใจที่หอมสดชื่น
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าประโยชน์ของชาเขียวนั้นมีมากมายจริงๆ แต่ควรต้องระวังในการบริโภคชาเขียวที่มีขายในท้องตลาด เนื่องจากผู้ผลิตได้มีการปรุงแต่งรสชาติให้เพี้ยนไปจากเดิมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติมน้ำตาลลงไปเป็นจำนวนมาก นอกจากจะทำให้รสชาติของชาเขียวเพี้ยนไปแล้ว ร่างกายของเราอาจจะได้รับน้ำตาลในปริมาณที่สูงเกินไปอีกด้วย
ที่มา https://www.เกร็ดความรู้.net/